บทสรุปของโพสต์โดย durumis AI
- Wi-Fi 7 คือเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายรุ่นใหม่ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของเทคโนโลยี Wi-Fi เดิม ด้วยความเร็วในการส่งข้อมูลที่สูงขึ้นและเสถียรภาพที่ดียิ่งขึ้น
- ด้วยแบนด์วิธ 320MHz และเทคโนโลยีการปรับมอดูเลต 4096QAM ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้เร็วสูงสุดถึง 46Gbps และเทคโนโลยี MLO ช่วยให้สามารถใช้หลายความถี่พร้อมกัน ลดเวลาแฝงและเพิ่มปริมาณงาน
- พร้อมฟีเจอร์อื่นๆ เช่น การรักษาความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น การใช้คลื่นความถี่ 6GHz และรองรับอุปกรณ์จำนวนมาก ทำให้ Wi-Fi 7 เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างเครือข่ายไร้สายในอนาคต เช่น ความเป็นจริงเสมือน/เสริม 8K สตรีมมิ่ง และอื่นๆ
Wi-Fi 7 กำลังเปิดฉากการปฏิวัติเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายยุคใหม่ Wi-Fi 7 ซึ่งรู้จักกันในชื่อมาตรฐาน IEEE 802.11be Extremely High Throughput (EHT) นั้น เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายรุ่นถัดไปที่ก้าวข้ามมาตรฐาน Wi-Fi 6 และ 6E ที่มีอยู่เดิม โดยมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการส่งข้อมูล ความเสถียร และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Wi-Fi 7 คือ ความเร็วในการส่งข้อมูลที่สูงอย่างเหลือเชื่อ โดยแบนด์วิธที่รองรับได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 160MHz เป็น 320MHz และประสิทธิภาพการปรับมอดูเลชันก็ได้รับการปรับปรุงจาก 1024QAM เป็น 4096QAM ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้เร็วสูงสุดถึง 46Gbps ในทางทฤษฎี ซึ่งเร็วกว่า Wi-Fi 6 ที่มีความเร็วสูงสุด 9.6Gbps ประมาณ 4.8 เท่า และเร็วกว่า Wi-Fi 5 ถึง 13 เท่าเลยทีเดียว ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้สามารถสตรีมวิดีโอ 8K แบบเรียลไทม์ หรือดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ 15GB ได้ภายในเวลาประมาณ 25 วินาที
นอกจากนี้ Wi-Fi 7 ยังใช้เทคโนโลยี MLO (Multi-Link Operation) ซึ่งช่วยให้สามารถใช้คลื่นความถี่หลายย่านพร้อมกันได้ในอุปกรณ์เดียว เช่น 2.4GHz, 5GHz และ 6GHz ทำให้สามารถเพิ่มเส้นทางการส่งข้อมูลและใช้แบนด์วิธได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ลดเวลาแฝง และเพิ่มความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพ
และที่สำคัญคือ สามารถใช้คลื่นความถี่ 6GHz ที่ได้รับการอนุมัติใหม่นอกเหนือจากคลื่นความถี่เดิม ทำให้สามารถลดผลกระทบจากสัญญาณรบกวนในสภาพแวดล้อมที่มีคลื่นความถี่หนาแน่นได้ Wi-Fi 7 ได้นำเทคโนโลยี Multi-RU มาใช้เพื่อใช้ทรัพยากรคลื่นความถี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยให้สามารถใช้ทรัพยากรคลื่นความถี่ที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างคุ้มค่า และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลให้สูงสุด
ด้วยเทคโนโลยี MIMO 16 สตรีม ทำให้อุปกรณ์หลายเครื่องสามารถส่งข้อมูลได้พร้อมกัน ส่งผลให้สามารถรองรับอุปกรณ์ได้อย่างเสถียรมากกว่า Wi-Fi 6 ถึง 4 เท่าในสภาพแวดล้อมของบ้านที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถตอบสนองความต้องการอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT)
Wi-Fi 7 ยังใช้เทคโนโลยี Preamble Puncturing ซึ่งช่วยให้สามารถใช้คลื่นความถี่ที่ทับซ้อนกันได้ ซึ่งในอดีตไม่สามารถทำได้ ทำให้สามารถใช้คลื่นความถี่ที่มีประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เพิ่มแบนด์วิธในการส่งข้อมูลแบบบริสุทธิ์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลให้สูงสุด
นอกจากนี้ Wi-Fi 7 ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากมาย เช่น รองรับโปรโตคอลความปลอดภัย WPA3 ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ซึ่งทำให้ Wi-Fi 7 เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายรุ่นถัดไปที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น คาดว่าในอนาคต Wi-Fi 7 จะถูกนำไปใช้ในหลากหลายสภาพแวดล้อม เช่น ความเป็นจริงเสมือน/ความเป็นจริงเสริม การสตรีม 4K/8K เกมคลาวด์ และการดูแลทางไกลทางการแพทย์
การพัฒนาที่น่าทึ่งของ Wi-Fi 7 ซึ่งก้าวล้ำไปข้างหน้าในอนาคต จะช่วยให้เราสามารถเอาชนะข้อจำกัดของการสื่อสารไร้สายที่เราเคยเผชิญมาได้อย่างสิ้นเชิง นี่คือเหตุผลที่หลายคนให้ความสนใจกับมาตรฐานทางเทคนิคของ Wi-Fi 7 ที่จะแล้วเสร็จในปี 2567 เราต้องจับตามองการพัฒนาของ Wi-Fi 7 ซึ่งจะเปิดโลกใหม่ของเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย